วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร


1 บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
                การติดต่อสื่อสารเป็นการพูดคุยหรือส่งข่าวสารกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นการแสดงออกด้วยท่าทาง การใช้ภาษาพูดหรือผ่านทางตัวอักษร โดยส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารในระยะใกล้ ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นมีการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้ในการสื่อสาร ทำให้สามารถสื่อสารได้ในระยะไกลและสะดวดรวดเร็วมากขึ้น เช่น โทรเลข โทรศัพท์ และการสื่อสาร
              สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า    ระบบเครือข่าย (network system) มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลำดับ จากในอดีตการใช้งานคอมพิวเตอร์จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เมนเฟรม การใช้งานจะมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องปลายทางหรือเทอร์มินัล (terminal) หลายเครื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กับเทอร์มินัลในยุคแรก
                 ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์หรือพีซี ซึ่งมีขีดความสามารถในด้านความเร็วการทำงานสูงขึ้น และมีราคาต่ำลงมากเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ทำให้การใช้งานแพร่หลายมากยิ่งขึ้น และมีความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเทอร์มินัลเข้ากับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และได้มีการกำหนดมาตรฐานกลางที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่มาจากผู้ผลิตต่างกัน ใช้สามารถติดต่อถึงกันได้ เกิดจากใช้งานระบบเครือข่ายที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน เช่น การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน หรือการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทำให้เกิดความสะดวก และรวดเร็วในการใช้งานมากขึ้น
               การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดประโยชน์ดังนี้
1.ความสะดวกในการแบ่งปันข้อมูล
2.ความถูกต้องของข้อมูล
3.ความเร็วของการรับส่งข้อมูล
4.การประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูล
5.ความสะดวกในการแบ่งปันทรัพยากร
6.ความสะดวกในการประสานงาน
7.ขยายบริการขององค์กร
8.การสร้างบริการรูปแบบใหม่บนเครือข่าย

2 การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูล/ข่างสารโดยผ่านทางสื่อกลางในการสื่อสาร ซึ่งอาจเป็นสื่อกลางประเภทที่มีสายหรือไร้สายก็ได้ องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วย
1.             ข้อมูล/ข่าวสาร (data/message)    คือ ข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ ที่ต้องการส่งไปยังผู้รับโดยข้อมูล/ข่าวสารอาจประกอบด้วยข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เสียง วีดิทัศน์ หรือสื่อผสม
2.             ผู้ส่ง (Sender) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับส่งข้อมูล/ข่าวสาร ซึ้งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ กล้องวีดิทัศน์ เป็นต้น
3.             ผู้รับ (Receiver) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับข้อมูล/ข่าวสารที่ทางผู้ส่งข้อมูลส่งให้ ซึ้งอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
4.             สื่อกลางในการรับส่งข้อมูล (Transmission Media) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่ในการรับส่งข้อมูล/ข่าวสารไปยังจุดหมายปลายทาง โดยสื่อกลางในการส่งข้อมูลจะมีทั้งแบบสาย เช่น สายเคเบิล สายยูทีพี สายไฟเบอร์ออพติก และสื่อกลางในการส่งข้อมูลแบบไร้สาย เช่น คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟและดาวเทียม
5.             โพรโทคอล (Protocol)  คือ กฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นข้อตกลงในการสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่ง
                 2.1 สัญญาณที่ใช้ในระบบสื่อสาร แบ่งออกเป็น2ประเภทคือ สัญญาณแอนะล็อก (analog signal)และสัญญาณดิจิทัล (digital signal) สัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณที่มีขนาดแอมพริจูด (amplitude) ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาและเป็นค่าต่อเนื่อง เช่น เสียงพูด และเสียงดนตรี ส่วนสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณที่ไม่มีความต่อเนื่องที่เรียกว่า ดีสครีต (Discrete) สัญญาณดิจิทัลถูกแทนด้วยระดับแรงดันไฟฟ้าสองระดับเท่านั้นโดยแสดงสถานะเป็น “0” และ “1”ซึ้งตรงกับรหัสตัวเลขฐานสอง
                 2.2การถ่ายโอนข้อมูล เป็นการส่งสัญญาณออกจากอุปกรณ์ส่ง ไปยังอุปกรณ์รับ โดยจำแนกได้ 2 แบบ คือ
1) การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละหลายบิตพร้อมกันจากอุปกรณ์รับ ผ่านสื่อกลางนำสัญญาณที่มีช่องทางส่งข้อมูลหลายช่องทาง โดยทั่วไปจะเป็นสายนำสัญญาณหลายๆเส้นที่มีจำนวนสายส่งสัญญาณเท่ากับจำนวนบิตที่ต้องการส่งในแต่ละครั้ง นอกจากการส่งข้อมูลหลักที่ต้องการแล้ว อาจมีการส่งข้อมูลอื่นเพิ่มเติมไปด้วย เช่น บิตพาริตี (Parity Bit) ใช่ในการตรวจสอบความผิดพลาดของการรับสัญญาณที่ปลายทาง หรือสายที่ควบคุมการตอบโต้ เพื่อควบคุมจังหวะการรับ-ส่งข้อมูลแต่ละชุด
2) การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม ในการถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม ข้อมูลจะถูกส่งออกมาทีละบิต ระหว่างจุดรับและจุดส่ง ถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมต้องการสื่อกลางสำหรับการสื่อสารเพียงช่องเดียวหรือเพียงคู่สายเดียว ค่าใช้จ่ายในด้านของสายสัญญาณจะถูกกว่าแบบขนานสำหรับการส่งระยะทางไกลๆ
                2.3 รูปแบบการรับ-ส่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการรับ-ส่งข้อมูลแบบขนานและอนุกรมสามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบดังนี้
                1) การสื่อสารทางเดียว (Simplex Transmission) ข้อมูลสามารถส่งได้ทางเดียวโดยแต่ละฝ่ายจะทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นผู้รับและผู้ส่ง บางครั้งเรียกการสื่อสารแบบนี้ว่าการส่งทิศทางเดียว (Unidirectional Transmission) เช่น การกระจายเสียงของสถานีโทรทัศน์หรืสถานีวิทยุ
                2) การสื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (Half duplex Transmission) สามารถส่งข้อมูลได้ทั้งสองฝ่าย แต่จะต้องผลัดกันส่งผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสาร (Walkie-Talkie Radio)
                3) การสื่อสารสองทางเต็มอัตรา (Full duplex Transmission) สามารถส่งข้อมูลได้สองทางโดยที่ผู้รับและผู้ส่งสามารถรับข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์

3 สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
                การสื่อสารทุกชนิดต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทาง เช่น การคุยโทรศัพท์อาศัยสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลางในการส่งสัญญาณคลื่นเสียงไปยังผู้รับเป็นต้นสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์อาจใช้สายเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อหรืออาจใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สายเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อก็ได้สื่อกลางในการสื่อสารมีความสำคัญเพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดประสิทธิภาพในการสื่อสาร เช่น ความเร็ว ในการส่งข้อมูล ปริมาณของข้อมูล ที่สามารถนำไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลา รวมถึงคุณภาพของการส่งข้อมูล เราจะกล่าวถึงสื่อกลางในการสื่อสารทั้งในแบบใช้สายและแบบไร้สายดังนี้
                3.1 สื่อกลางแบบใช้สาย
                1) สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair Cable) สายนำสัญญาณแบบแต่ละค่สายที่เป็นสายทองแดงจะถูกพันบิดเป็นเกลียว เพื่อลดการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในสายเดียวกัน ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสายคู่บิดเกลียวมี2ชนิด คือ
                - สายคู่บิดเกลียวแบบไม่ป้องกันสัญญาณรบกวน
                - สายคู่บิดเกลียวแบบป้องกันสัญญาณรบกวน
                2) สายโคแอกซ์ (Coaxial Cable) เป็นสายที่เรารู้จักกันดี โดยใช้กับเสาอากาศที่นำสัญญาณมาให้ทีวี
                3) สายไฟเบอร์ออพติก(Fiber-Optic Cable) ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นใยทำจากแก้วหรือพลาสติกที่มีขนาดเล็กประมาณเส้นผม
                3.2 สายสื่อกลางแบบไร้สาย การสื่อสารแบบไร้สายอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อกลางนำสัญญาณ ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารหลายชนิด แบ่งตามช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน เนื่องมีความคล่องตัวสูงและสะดวกสบาย มีดังนี้
                1) อินฟราเรด สื่อกลางประเภทนี้มักใช้การสื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งและตัวรับสัญญาณ
                2) ไมโครเวฟ เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกล โดยการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปในอาการพร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง
                3) คลื่นวิทยุ เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูลไปในอากาศ สามารถส่งในระยะใกล้และไกล
                4) ดาวเทียมสื่อสาร พัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรับส่งไมโครเวฟบนผิวโลก

                4 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
                เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้ากันเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลและทรัพยากรร่วมกัน
                เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพื้นที่ที่ครอบคลุมการใช้งานเครือข่าย ดังนี้
                 1.เครือข่ายส่วนบุคคล หรือแพน (Personal Area Network : PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล
                 2.เครือข่ายเฉพาะที่หรือแลน (Local  Area Network : LAN)  เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยง
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้กัน
                 3.เครือข่ายนครหลวงหรือแมน (Metropolitan  Area Network : MAN)  เป็นเครือข่ายที่ใช้ใน
การเชื่อมโยงแลนที่ไกลออกไป
                 4.เครือข่ายวงกว้างหรือแวน (Wide Area Network : WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยง
กับเครือข่ายอื่นที่อยู่ไกลจากกัน
             4.1 ลักษณะเครือข่าย ในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันสามารถแบ่งลักษณะของเครือข่ายตามบทบาทของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการสื่อสารได้ดังนี้
                1. เครือข่ายแบบรับหรือให้หริการ (Client-Server Network)
                2. เครือข่ายระดับเดียวกัน (Peer-to-Peer Network: P2P Network)
             4.2 รูปร่างของเครือข่าย
                1. เครือข่ายแบบบัส (Bus Topology) เป็นรูปแบบที่มีเค้าโครงไม่ยุ่งยาก
                2. เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Topology) เป็นการเชื่อมแต่ละสถานีเข้าด้วยกัน
                3. เครือข่ายแบบดาว (Star Topology) เป็นการเชื่อมต่อสถานีในเครือข่ายโดยทุกสถานีจะต่อเข้ากับหน่วยสลับสายกลาง
                4. เครือข่ายเมช (Mesh Topology) เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่มีความนิยมมากและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากถ้ามีเส้นทางการเชื่อมต่อคู่ใดคู่หนึ่งขาดออกจากกัน การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่นั้นยังสามารถติดต่อได้โดยอุปกรณ์จัดเส้นทาง () จะทำการเชื่อมต่อเส้นทางใหม่ไปยังปลายทาง

                5  โพรเทคอล
การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เครือข่ายที่ผลิตจากผู้ผลิตหลายรายผ่านทางระบบเครือข่ายชนิดต่างๆกัน ไม่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกันได้ เช่น การติดต่อสื่อสารระหว่างเมนเฟรมของบริษัทไอบีแอ็ม (IBM Mainframe) ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรงกับเครื่องแมคอินทอชของบริษัทแอปเปิล (Apple Macintosh) ดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลที่ส่งและกำหนดมาตรฐานทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้อุปกรณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยมีองค์กรกลาง เช่น IEEE , ISO และ ANSI เป็นผู้กำหนดมาตรฐานขึ้นมา
                สำหรับโพรโทคอลที่ใช้เป็นมาตรฐานในการสื่อสารแบบใช้สาย และแบบไร้สาย ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น
 ทีซีพี/ไอพี (Transmission Control Protocol / Internet Protocol : TCP/IP) เป็นโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่อสารในระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการระบุผู้รับผู้ส่งในเครือข่ายและจัดการแบ่งข้อมูลเป็นชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า แพ็กเก็ต (Packet) ส่งผ่านไปยังอินเทอร์เน็ตและมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ส่งไปนั้นจะได้รับอย่างถูกต้องครบถ้วน
 ไวไฟ (Wireless Fidelity : Wi-fi) มักถูกนำไปอ้างถึงเทคโนโลยีเครือข่ายแบบไร้สาย ตามมาตรฐาน IEEE 802.11 ซึ่งใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4GHz เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร ไวไฟเกิดจากการรวมกลุ่มกันของผู้ผลิตอุปกรณ์ เพื่อทดสอบว่าอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นทำงานได้ตามมาตรฐานของ IEEE 802.11 โดยเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองจากไวไฟ จะสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้
               6 อุปกรณ์การสื่อสาร
อุปกรณ์การสื่อสาร (Communication Devices) ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ส่งและรับข้อมูล โดยมีการส่งผ่านตัวกลางดังที่กล่าวมา
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายมีหลายแบบด้วยกัน เช่น การต่อผ่านโทรศัพท์บ้าน การต่อผ่านเคเบิลทีวี การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบใช้สายและไร้สาย ซึ่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์สนับสนุนในการเชื่อมต่อในแต่ละแบบ อุปกรณ์การสื่อสารประเภทต่างๆ ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น
             1) โมเด็ม(Modem) เป็นอุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นสัญญาณแอนะล็อก และแปลง
สัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัลเพื่อให้ข้อมูลส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ โมเด็มแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้
             1.1 โมเด็มแบบหมุนโทรศัพท์ (Dial-up Modem) เป็นโมเด็มที่ใช้ต่อเข้ากับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านทางสายโทรศัพท์ การเชื่อมต่อใช้วิธีการหมุนโทรศัพท์
             1.2 ดิจิทัลโมเด็ม (Digital Modem) เป็นโมเด็มที่ใช้รับและส่งข้อมูลผ่านสายเชื่อมสัญญาณแบบดิจิทัล  การเชื่อมต่อโมเด็มแบบนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องหมุนโทรศัพท์ไปที่ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
             2) การ์ดแลน (LAN care) เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมระหว่างคอมพิวเตอร์กับสายตัวนำสัญญาณทำให้
คอมพิวเตอร์สามารถรัยและส่งข้อมูลกับระบบเครือข่ายได้
             3)ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์ที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหรือเครื่องหลาย ๆ เครื่องเข้า
ด้วยกัน ข้อมูลที่รับส่งผ่านฮับจากเครื่องหนึ่งจะกระจายไปยังทุกสถานีที่ต่ออยู่บนฮับนั้น
            4)สวิตช์ (Switch) เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่งหรือเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย
เครื่องเช่นเดียวกับฮับ แต่มีข้อแตกต่างจากฮับ คือการรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังทุกจุดเหมือนฮับ ทั้งนี้เพราะสวิตช์จะรับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใดแล้วนำข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เป้าหมาย
            5)อุปกรณ์จัดเส้นทาง (Router) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานในการเชื่อมโยงเครือข่าย หลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน
ดังนั้น จึงมีเส้นทางการเข้าออกของข้อมูลได้หลายเส้นทาง
            6)จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย (Wireless Access Point) ทำหน้าที่คล้ายกับฮับของเครือข่ายแบบใช้สายเพื่อใช้สำหรับ
ติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์แบบไร้สายโดยจะต้องใช้งานร่วมกับการ์ดแลนไร้สายที่ติดตั้งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์
            7 ตัวอย่างการติดตั้งแลนภายในบ้าน
การติดตั้งแลนภายในบ้านอย่างง่าย สามารถทำโดย เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อย สองเครื่องเข้าด้วยกันโดยผ่านสวิตช์และทำการปรับตั้งค่าของ โพรโทคอล การสื่อสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ที่อยู่ของไอพีของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารข้อมูลกันได้ และถ้าต้องการเชื่อมต่อแลนดังกล่าว เข้ากับอินเตอร์เน็ตจะต้องทำการเชื่อมต่อสวิตช์เข้ากับอุปกรณ์จัดเส้นทาง จากนั้นผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเส้นทางเข้ากับอินเตอร์เน็ตได้โดยขอใช้บริการจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต


ที่มา  http://wassanaict.blogspot.com/p/4.html


อุปทาน (Supply)
อุปทาน (Supply) ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกำหนดให้สิ่งอื่นๆคงที่
ราคา (บาท/หน่วย)100908070605040
อุปสงค์/ความต้องการ270240200170 14011070
จากตารางด้านบนจะสังเกตได้ว่า เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้น ความต้องการหรืออุปสงค์ก็มากขึ้น(P>,S>)
แต่ในทางกลับกัน                เมื่อราคาสินค้าถูกลง ความต้องการหรืออุปสงค์ก็เพิ่มลดลง(P<,S<)
ปัจจัยที่กำหนดอุปทาน
–          ราคาของสินค้า เมื่อราคาแพงขึ้น ความต้องการขายเพิ่มขึ้น (P>,S>)
–          ราคาของปัจจัยการผลิตหรือต้นทุนการผลิต เช่น หากต้นทุนค่าขนส่งแพงขึ้นเพราะราคาน้ำมันแพงขึ้น แต่ราคาสิ้นค้าที่นำไปวางขายไม่เปลี่ยนแปลง จะทำให้ผู้ผลิตอยากขายสินค้าในปริมาณที่น้อยลง ได้กำไรน้อยลง
–          ราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรณีที่ราคาสินค้าอื่นแพงขึ้น อาจมีผลทำให้อุปทานของสินค้าที่ผลิตอยู่ลดลงตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น เมื่อราคาข้าวโพดแพงขึ้น คนที่เคยปลูกมันสำปะหลังอยู่ อาจหันไปปลูกข้าวโพดแทน และลดการปลูกมันสำปะหลังลง ซึ่งส่งผลทำให้อุปทานของมันสำปะหลังสูงขึ้น ขณะที่อุปทานของข้าวโพดลดลง
–          เทคโนโลยีในการผลิตสินค้า เช่น หากมีการคิดค้นเทคโนโลยีในการผลิตให้ดีขึ้น ทำให้ผลิตได้ปริมาณสินค้ามากขึ้นด้วยต้นทุนเท่าเดิม จะทำให้ปริมาณการเสนอขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้
–          การคาดการณ์ในอนาคต เช่น หากผู้ผลิตหรือผู้ขายคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ก็เสนอขายสินค้าในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
–          ปัจจัยอื่น เช่น ฤดูกาล ภาษีและเงินอุดหนุน จำนวนผู้ขาย และโครงสร้างตลาดสินค้า
กฎของอุปทาน (Law of Supply) หมายถึง กฎที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณการเสนอขายสินค้า ซึ่งกฎนี้กล่าวไว้ว่า “ปริมาณความต้องการขายสินค้าและราคาสินค้ามีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน”
ภาวะดุลยภาพ (Equilibrium) หมายถึง ระดับราคาที่ผู้ซื้อและผู้ขายเห็นพ้องต้องกัน หรือระดับราคาที่อุปสงค์เท่ากับอุปทาน หรือเส้นอุปสงค์ตัดกับเส้นอุปทาน
จากรูป ระดับดุลยภาพที่ความต้องการซื้อและความต้องการขายเท่ากันพอดี (เส้น D ตัดกับเส้น S ทีจุด E)
โดย ณ ราคาสินค้า 60 บาทต่อหน่วย ผู้ซื้อและผู้ขายมีความต้องการสินค้าที่ 120 หน่วย
จุดที่ราคาสูงกว่าราคาดุลยภาพจะเกิดอุปทานส่วนเกิน (Excess supply) และจะมีการปรับตัวเข้าสู่ราคาดุลยภาพ
ส่วนจุดที่ราคาต่ำกว่าราคาดุลยภาพจะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (Excess demand) และจะมีการปรับตัวสู่ราคาดุลยภาพ

ที่มา วิชาการ.คอม http://www.vcharkarn.com/varticle/37209

ความหมายของอุปสงค์
ผู้ที่สนใจในข้อมูลทางเศรษฐกิจหรือเคยติดตามข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจตามสื่อต่าง ๆ  อาจจะเคยได้เห็นและได้ยินคำว่า “อุปสงค์” มาบ้างพอสมควร บางท่านอาจจะยังมีความสงสัยในความหมายที่แท้จริงของคำดังกล่าวว่าในทางเศรษฐศาสตร์แล้วอุปสงค์หมายความว่าอย่างไรและมีความสำคัญอย่างไร



          อุปสงค์ (demand) คือ ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการและเต็มใจที่จะซื้อ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ กัน ของสินค้าชนิดนั้น หรือ ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ ของผู้บริโภค หรือ ณ ระดับราคาต่าง ๆ กันของสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง



             ข้อพึงสังเกตเพิ่มเติม : ในความหมายของอุปสงค์

            ๑. อุปสงค์จะสมบูรณ์ในทางเศรษฐศาสตร์ คือ ต้องมีความต้องการร่วมกับมีอำนาจซื้อ (เงิน) หากมีแค่ความต้องการแต่ไม่มีอำนาจ (เงิน) ที่จะซื้อก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ เช่น

                      - นาย ก. มีความต้องการที่จะซื้อทีวีและมีเงินพอในการชำระค่าทีวี ถือว่า เป็นอุปสงค์

                     - นาย ข. มีความต้องการโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่แต่เงินมีไม่พอจึงซื้อไม่ได้ ถือว่า ไม่ใช่อุปสงค์

       

           ๒. สามารถแบ่งอุปสงค์ตามความหมายได้ ๓ ประเภท (ซึ่งในแต่ละประเภทก็จะมีข้อ สมมติ เพื่อขจัดข้อจำกัดทางพฤติกรรมการบริโภคออกไป ให้ง่ายต่อความเข้าใจ) คือ

                 ๒.๑ อุปสงค์ต่อราคา (price demand) หมายถึง ปริมาณของสินค้าและบริการที่มีผู้บริโภคต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าและบริการชนิดนั้น ๆ ในระยะเวลาที่กำหนด โดยสมมติ กำหนดให้ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอื่น ๆ คงที่ เช่น

                       - หากต้องการศึกษาอุปสงค์ต่อราคาของสินค้า ก. นั้น ก็จะพิจารณาเฉพาะการเปลี่ยนแปลงไปในราคาสินค้า ก. อย่างเดียว ว่ามีผลกระทบต่อความต้องการของผู้บริโภคอย่างไร โดยที่สมมติ กำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ เช่น รายได้ของผู้บริโภค ราคาสินค้าชนิดอื่น (สินค้า ข.) ที่เกี่ยวข้องไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น



                ๒.๒ อุปสงค์ต่อรายได้ (income demand) หมายถึง ปริมาณของสินค้าและบริการที่มีผู้บริโภคต้องการซื้อ ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ กัน ในระยะเวลาที่กำหนด โดยสมมติ กำหนดให้ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอื่น ๆ คงที่ เช่น

                       - หากต้องการศึกษาอุปสงค์ต่อรายได้ของนาย ก. ที่มีต่อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็จะพิจารณาเฉพาะการเปลี่ยนแปลงไปในรายได้ของนาย ก. อย่างเดียว ว่ามีผลกระทบต่อความต้องการในสินค้านั้น ๆ อย่างไร โดยที่สมมติ กำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคาของสินค้าชนิดนั้น ราคาสินค้าชนิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น



              ๒.๓ อุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง (cross demand) หมายถึง ปริมาณของสินค้าและบริการที่มีผู้บริโภคต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าและบริการชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน ในระยะเวลาที่กำหนด โดยสมมติ กำหนดให้ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอื่น ๆ คงที่ เช่น

                 - หากต้องการศึกษาอุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน หากว่าเราบริโภคสินค้า ก. เป็นประจำ ในกรณีของการศึกษาดังกล่าวก็จะพิจารณาเฉพาะการเปลี่ยนแปลงไปในราคาสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ก. เช่น สินค้า ข. ว่ามีผลกระทบต่อความต้องการสินค้า ก.ที่เราบริโภคเป็นประจำนั้นอย่างไร โดยที่สมมติ กำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคาของสินค้าชนิดนั้น รายได้ของผู้บริโภค ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น



                   เพิ่มเติม : สินค้าที่เกี่ยวข้องกัน

                         - สินค้าที่ใช้ทดแทนกัน (substitution goods) เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่  ปากกากับดินสอ เป็นต้น

                         - สินค้าที่ใช้ประกอบกัน (complementary goods) เช่น กาแฟกับคอฟฟีเมต แปรงสีฟันกับยาสีฟัน เป็นต้น

ที่มา เว็บ GoToknow  https://www.gotoknow.org/posts/396995

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

ไอศกรีม

       

     ไอศกีม (อังกฤษ: ice cream) หรือภาษาปากว่า ไอติม เป็นของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม นำไปผ่านการฆ่าเชื้อ แล้วนั้นนำไปปั่นในที่เย็นจัด เพื่อเติมอากาศเข้าไปพร้อม ๆ กับการลดอุณหภูมิ โดยอาศัยเครื่องปั่นไอศกรีม ไอศกรีมตักโดยทั่วไปจะต้องผ่านขั้นตอนการแช่เยือกแข็งอีกครั้งก่อนนำมาขายหรือรับประทาน

         ประวัติ ต้นกำเนิดของไอศกรีมนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดมาเริ่มจากไหน บางข้อมูลก็ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรแห่งจักรวรรดิโรมัน ที่ได้มีการพระราชทานเลี้ยงไอศกรีมทหาร โดยในสมัยนั้นทำจากเกล็ดน้ำแข็ง (หิมะ) ผสมน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งคล้ายกับไอศกรีมเชอร์เบตในปัจจุบัน แต่บ้างก็ว่ามาจากประเทศจีน เกิดจากเมื่อสมัยโบราณที่นมถือเป็นของหายาก จึงได้มีการคิดวิธีเก็บรักษาโดยการเอาไปฝังในหิมะจึงเกิดเป็นไอศกรีมขึ้น แม้จะไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับไอศกรีมอย่างทุกวันนี้
แต่บ้างก็ว่ามาจากอิตาลีโดยมาร์โค โปโล กลับจากจีนแล้วเอาสูตรไอศกรีมมาเผยแพร่ ซึ่งในตอนนั้นไอศกรีมของจีนยังไม่มีนม เป็นคล้ายน้ำแข็งไสมากกว่า ยังมีจุดเริ่มต้นจากอังกฤษเมื่อสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พ่อครัวคนหนึ่งมีสูตรเด็ดเป็นครีมแช่แข็งปรุงรส ซึ่งเป็นสูตรลับสุดยอดที่ส่งเป็นของหวานถวายพระองค์ ทว่าเมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1642-ค.ศ. 1651 พ่อครัวต้องลี้ภัยไปยุโรปจึงได้นำสูตรไอศกรีมนี้เผยแพร่ออกไป

ไอศกรีมในประเทศไทย


ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย, ชวาและสิงคโปร์ น้ำแข็งในตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบันทึกไว้ว่า

"ไอศกรีมเป็นของที่วิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กที่เขาทำกันตามบ้านเข้ามา ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกรีมบ้างบางวันก็ไม่มี จึงเห็นเป็นของวิเศษ"

โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของชั้นดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทำเองด้วย ในช่วงแรก ๆ นั้นไอศกรีมกะทิมีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ
ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ เรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวเหนียว หรือลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง
ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้
จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ ๆ จนถึงปัจจุบัน

ไอศกรีมแท่ง

ไอศกรีมแท่ง หรือภาษาปากว่า ไอติมแท่ง เป็นน้ำหวาน ซึ่งมักเจือสีสังเคราะห์ และแช่ให้แข็งเป็นแท่งพร้อมด้ามสำหรับถือรับประทานได้ ด้ามเช่นว่านั้นอาจเป็นไม้หรือวัสดุอื่น เช่น พลาสติก และที่ปราศจากด้ามเลยก็มี เช่น เสียบในซองพลาสติก (plastic sleeve) แทน

ต้นกำเนิดของไอศกรีมนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดมาเริ่มจากไหน บางข้อมูลก็ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรแห่งจักรวรรดิโรมัน ที่ได้มีการพระราชทานเลี้ยงไอศกรีมทหาร โดยในสมัยนั้นทำจากเกล็ดน้ำแข็ง (หิมะ) ผสมน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งคล้ายกับไอศกรีมเชอร์เบตในปัจจุบัน แต่บ้างก็ว่ามาจากประเทศจีน เกิดจากเมื่อสมัยโบราณที่นมถือเป็นของหายาก จึงได้มีการคิดวิธีเก็บรักษาโดยการเอาไปฝังในหิมะ จึงเกิดเป็นไอศกรีมขึ้น แม้จะไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับไอศกรีมอย่างทุกวันนี้

แต่บ้างก็ว่ามาจากอิตาลีโดยมาร์โค โปโล กลับจากจีนแล้วเอาสูตรไอศกรีมมาเผยแพร่ ซึ่งในตอนนั้นไอศกรีมของจีนยังไม่มีนม เป็นคล้ายน้ำแข็งไสมากกว่า ยังมีจุดเริ่มต้นจากอังกฤษเมื่อสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พ่อครัวคนหนึ่งมีสูตรเด็ดเป็นครีมแช่แข็งปรุงรส ซึ่งเป็นสูตรลับสุดยอดที่ส่งเป็นของหวานถวายพระองค์ ทว่าเมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1642-ค.ศ. 1651 พ่อครัวต้องลี้ภัยไปยุโรปจึงได้นำสูตรไอศกรีมนี้เผยแพร่ออกไป

ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ


ซอฟต์เสิร์ฟ หรือ ซอฟต์ครีม เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายประเภทของไอศกรีมที่นุ่มกว่าไอศกรีมปกติ และขายเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1930

ในปี 1934 ทอม Carvel ผู้ก่อตั้งแบรนด์และแฟรนไชส์ ​​Carvel ประสบเหตุยางแบนในรถบรรทุกไอศกรีมของเขาในเมือง Hartsdale, นิวยอร์ก เขาจึงนำรถที่ยางแบนเข้าลานจอดรถและเริ่มขายไอศกรีมของเขาที่เริ่มละลายให้กับผู้ที่มาพักผ่อนที่สัญจรไปมา ภายในสองวันเขาสามารถขายไอศกรีมทั้งหมด และสรุปได้ว่า ที่ตั้งถาวรและ ซอฟต์เสิร์ฟ เป็นแนวคิดธุรกิจที่มีโอกาสทางธุรกิจได้สูง ในปี 1936, Carvel เปิดร้านสาขาแรกของเขาบนรถตู้ที่เสียของเขา และริเริ่มการพัฒนาความลับของสูตรซอฟต์เสิร์ฟไอศกรีม พร้อมๆกับที่จดสิทธิบัตรเครื่องทำไอศกรีมซอฟต์เซิร์ฟ 


Dairy Queen ยังอ้างว่าได้คิดค้นซอฟต์เสิร์ฟ ในปี 1938 ใกล้เมือง Moline, รัฐอิลลินอยส์, JF McCullough และลูกชายของ Alex ได้พัฒนาสูตรซอฟต์เสิร์ฟของพวกเขา การทดลองขายของพวกเขาครั้งแรกคือเมื่อ 4 สิงหาคม 1938 ใน Kankakee, รัฐอิลลินอยส์ที่ร้านของเพื่อนของพวกเขา, ร้านชื่อโนเบิลเฮิร์บ พวกเขาขายซอฟต์เสิร์ฟได้ถึง 1600 ที่ภายในสองชั่วโมง
ที่มา วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี